วัด
สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพคือ วัดไตรมิตร
ที่ผู้คนนิยมไปสักการะพระพุทธรูปทองคำกัน
ตอนนี้ทางวัดได้สร้างพระมหามณฑปหลังใหม่สวยงามโอ่อ่าสำหรับประดิษฐานองค์
พระ
ที่สำคัญด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความเป็นมาทั้งของพระทองคำและชุมชน
ชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในย่านเยาวราชนี้
มาไหว้พระชื่นใจแล้วยังได้มาชื่นชมกับพิพิธภัณฑ์ดี ๆ อีกแห่งของเมืองกรุง
โดยเฉพาะใครที่มีเชื้อสายจีนต้องบอกว่าไม่ควรพลาดมาชมกัน
นี่ไงพระมหามณฑปหลังใหม่ของวัดไตรมิตรที่เพิ่งสร้างเสร็จและเปิดเมื่อต้น
ปี 2553
เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา 80
พรรษา
เป็นฝีมือการออกแบบอีกชิ้นของ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติและอดีตอธิบดีกรมศิลปากร หลายคนคงคุ้นหูกับชื่อท่านกันดี เพราะท่านเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระเมรุที่ใช้ถวายพระเพลิงพระ บรมศพสมเด็จย่า และพระศพของสมเด็จ กรมหลวงฯ มาแล้วด้วย
มาถึงวัดต้องชวนไปกราบพระประธานที่อุโบสถก่อน
วัดไตรมิตรแต่เดิมมีชื่อว่าวัดสามจีน จากชื่อวัดก็เชื่อกันว่าเดิมมีคนจีน 3 คนที่เป็นเพื่อนกันได้ร่วมกันสร้างวัดไว้ พอมามีการบูรณะวัดขึ้นใหม่ตอนหลังก็เลยเปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดไตรมิตรในปี พ.ศ. 2482
ขึ้นไปที่พระมหามณฑปกันต่อ
ชั้น 4 ที่เป็นชั้นบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ หรือที่เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร
ส่วนที่ชั้น 3 จะเป็น ห้องจัดแสดงนิทรรศการหลวงพ่อทองคำ และชั้น 2 เป็นศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช
ใครพาเพื่อนต่างชาติมาต้องไปซื้อบัตรกันก่อน
ถ้าขึ้นไปชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำอย่างเดียว 40 บาท แต่ถ้าชมห้องจัดแสดงที่ชั้น 2 และชั้น 3 ด้วยก็จ่ายเพิ่มอีก 100 บาทเป็น 140 บาท
ส่วนถ้าใครพาคุณพ่อคุณแม่ อากง อาม่า มาไหว้พระ เห็นบันไดทางขึ้นแล้วก็นึกไม่ออกว่าจะพาผู้สูงอายุขึ้นไปถึงองค์พระด้านบนได้ยังไง
มากราบพระกัน
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย
ส่วนประวัติความเป็นมาเป็นยังไง กราบพระกันแล้วก็เดินลงมาที่ชั้น 3 เขามีนิทรรศการหลวงพ่อทองคำจัดแสดงเอาไว้อย่างสวยงามน่าดูชม
ก่อนเข้าไปต้องถอดรองเท้าใส่ถุงผ้าที่เตรียมไว้ให้ แล้วก็หิ้วติดมือเข้าไปด้วยเลย
ถ้าขี้เกียจหิ้ววางทิ้งไว้ข้างนอก เจ้าหน้าที่เขาเตือนว่าหายกันไปหลายรายแล้ว
มาลงทะเบียนเข้าชมที่โถงด้านหน้ากันก่อน
ใครมีกล้องมาด้วยก็เก็บภาพกันได้เต็มที่ เพียงแต่มีข้อห้ามไม่ให้ใช้แฟลชตอนถ่ายเท่านั้น
ส่วนแรกจะเป็นห้องฉายภาพยนต์ที่จะฉายวิดีทัศน์สั้น ๆ
บอกเล่าเรื่องราวที่มาของพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย
และพระปางมารวิชัยว่าสร้างจากพุทธประวัติช่วงไหน
ตอนไปถึงอาจจะต้องนั่งรอรอบฉายสักนิดก่อนจะได้เข้าชม
หลัก ๆ ก็คือ ใช้ดินมาปั้นหุ่นพระเป็นแกนด้านในขึ้นมาก่อน
แล้วค่อยเอาขี้ผึ้งมาพอกทับ
ตกแต่งลวดลายให้เหมือนกันพระพุทธรูปที่เราเห็นกันนี่ล่ะ
จากนั้นก็ค่อย ๆ พอกดินทับลงไป เสร็จแล้วเท่ากับเราก็จะมีขี้ผึ้งที่มีลวดลายองค์พระอยู่ระหว่างกลางแบบพิมพ์ดิน
พอเผาให้ขี้ผึ้งละลายออกมาตามช่องที่เตรียมไว้แล้ว ก็หลอมทองเทลงไปในช่องว่างแทนที่ขี้ผึ้ง แกะแบบพิมพ์ออกแล้วตกแต่งรายละเอียดต่อไป
ที่จริงแต่ละขั้นจะมีรายละเอียดกว่านี้ ใครสนใจก็ค่อย ๆ ไปอ่านคำอธิบายกันได้
แต่ทีแรกที่พบพระพุทธรูปองค์นี้ไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระทองคำ เพราะองค์พระถูกพอกเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นอยู่ที่วัดพระยาไกร
พอดีว่าวัดพระยาไกรมากลายเป็นวัดร้างไปในสมัยรัชกาลที่ 5
พระเถระเจ้าคณะที่ดูแลวัดนี้ก็เลยสั่งให้ย้ายพระมาประดิษฐานไว้ที่วัดไตร
มิตร
พอมาถึงวัดไตรมิตรแล้ว ทีแรกมาก็เชิญพระมาพักไว้ในเพิงสังกะสีอยู่เกือบ
20 ปีกว่าวิหารที่จะใช้ประดิษฐานพระจะสร้างเสร็จ
ตอนที่ย้ายองค์พระเข้าไปในวิหารนี่ล่ะ เชือกที่ยกเกิดขาด
องค์พระตกลงมาจนปูนกระเทาะถึงได้เห็นว่าเนื้อในเป็นทองคำ
ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. 2498 พอผู้คนรู้ข่าวพระทองคำองค์ใหญ่
หน้าตักกว้างถึง 3.01 ม. สูง 3.91 ม. ก็แห่แหนมานมัสการกันล้นหลาม
จนเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์
ถัดมามีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามมาก ข้างกันมีฉายวิดีทัศน์การก่อสร้างมหามณฑปนี้ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จ
ลงมาที่ชั้น 2 มีศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราชให้ชมกันต่อ
ข้างในมีเรื่องราวของการอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยของชาวจีน ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าแผ่นดินไทยจนสามารถสร้าง ฐานะความเป็นอยู่ที่มั่งคั่ง ไปจนถึงบรรยากาศของเยาวราชในอดีต
มาถึงก็ลงทะเบียนเข้าชมที่เคาน์เตอร์เสร็จแล้วก็มานั่งรอกันก่อน เจ้าหน้าที่เขาจะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ๆ อีกเหมือนกัน
ห้องฉายมาแนวแปลก จัดโต๊ะเก้าอี้จริง ๆ ตั้งไว้กลางเวทีที่พอเริ่มฉายก็มีภาพอากงกับหลานชายมานั่งคุยกันอยู่โต๊ะ
เรื่องราวบอกเล่าถึงความผูกพันของชาวจีนที่มีต่อพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่ รุ่นเหลากงจนมาถึงรุ่นหลาน และยังถ่ายทอดบอกเล่าถึงความยากลำบากของคนรุ่นที่เพิ่งอพยพย้ายถิ่นเข้ามา ในเมืองไทย ที่ต้องใช้ทั้งความอดทนและขยันหมั่นเพียรจนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา มีฐานะที่มั่งคง ให้ลูกหลานคนรุ่นหลังที่เกิดมาก็มีชีัวิตที่สุขสบาย ได้รับรู้ถึงความเป็นมาของบรรพชน
ฟังแล้วดูเหมือนอาป้าอาม้าจะอยากจับลูกหลานตัวดี มานั่งฟังอาเหลากงสอนหลานตรงนี้ไปด้วย
ยุคนั้นเป็นยุคที่ไทยเราทำการค้าด้วยเรือสำเภากับเมืองจีนในลักษณะของ
เครื่องบรรณาการ
แล้วก็มีคนจีนนี่ล่ะเป็นกำลังสำคัญทั้งเป็นนายเรือและลูกเรือในสำเภาที่ออก
ไปค้าขาย
ตั้งแต่ยุคนั้นแล้วที่มีการอพยพของคนจีนมาเป็นระยะ ๆ
เขาก็เลยจำลองบรรยากาศใต้ท้องเรือสำเภาที่ชาวจีนอพยพอาศัยเดินทางฝ่าคลื่น
ลมเข้ามา
เขาออกแบบให้เราต้องเงยหน้าขึ้นไปชมภาพบนจอ ที่ฉายพร้อมเสียงประกอบที่ให้บรรยากาศเหมือนกับเราได้ร่วมเรือสำเภาเข้ามา ขึ้นฝั่งที่สำเพ็งไปกับเขาด้วย
เพื่อให้อินอีกนิด
พอเดินผ่านเรือออกมาก็จะเจอภาพวิวบนท่าเรือที่มองไปเห็นปรางค์วัดอรุณฯ
อยู่ลิบ ๆ อารมณ์เหมือนได้เป็น "ซิงตึ้ง"
เพิ่งขึ้นฝั่งสยามยังไงยังงั้นเลย
อาหารหลักของคนจีนก็คือข้าวต้มกับกับข้าว ที่เรารู้จักกันในชื่อ ข้าวต้มกุ๋ย นี่ล่ะ
ถ้าไปเดินดูเองก็ลองสังเกตด้วยว่า คนจีนเขามีท่านั่งกินที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างด้วย
ปู๊ด...ปู๊ด......ปู๊ด........
ห้องถัดมามีเสียงหวูดของเรือกลไฟดังเป็นระยะ ห้องนี้บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ลงมาที่เริ่มมีเรือกลไฟใช้งานกัน
หลังจากที่รัฐบาลสยามจำต้องเปิดการค้าให้มีความเสรีมาขึ้น
จากข้อตกลงตามสนธิสัญญาที่ทำกับชาติตะวันตกหลายต่อหลายชาติในยุคล่า
อาณานิคม และคนจีนนี่เองที่เริ่มเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
ผ่านความเชี่ยวชาญทางการค้าจนสามารถยึดครองธุรกิจหลากหลายอย่างแทนที่ฝรั่ง
ในเวลาต่อมา
ถนนเยาวราชถือเป็นโฉมหน้าใหม่ที่สำคัญของชุนชนชาวจีน นับตั้งแต่ ร.5
ได้โปรดฯ ให้ตัดถนนสายนี้ขึ้นระหว่าง ถ.สำเพ็ง กับ ถ.เจริญกรุง
แม้จนมาถึงทุกวันนี้เยาวราชก็ยังเป็นไชน่าทาวน์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกเลย
ก็ว่าได้
แบบจำลองของถนนเยาวราชที่คดโค้งไปมา เนื่องจาก ร.5
ทรงมีพระราชประสงค์ให้ถนนที่ตัดใหม่นี้สร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้าของที่
เดิมให้น้อยที่สุด
แล้วรอบห้องยังแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุนชนชาวจีนในอดีตของย่านเยาวราชนี้กันไว้ให้ระลึกถึง
หรือโรงงิ้วที่เคยมีกันอยู่หลายต่อหลายโรงในย่านเยาวราชนี้
ความที่ในห้องจะหมุนเวียนจากกลางวันเป็นกลางคืน ช่วงค่ำ ๆ โรงงิ้วที่เคยเงียบนิ่งก็จะมีงิ้วมาเล่นกันเสียงดังครึกครื้นเรียกคนมามุงดู กันได้เยอะเลย
ร้านขายทองเคยจัดดนตรีมาบรรเลงสร้างความคึกคักในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเช่น ตรุษจีน
เยาวราชที่เรามองเห็นอาจเป็นเพียงตึกร้านสองข้างทาง แต่เราจะสัมผัสความเป็นเยาวราชที่แท้จริงได้ก็ด้วยผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่
ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นย่านไชน่าทาวน์หรือชุมชนคนจีน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีผู้คนหลายเชื้อชาติต่างศาสนาอยู่อาศัยร่วมกัน
ก่อนจะย้อนกลับไปทำความรู้จักกับเจ้าสัวผู้มั่งคั่งชาวจีนหลายต่อหลาย
ท่าน ที่ความร่ำรวยไม่ได้ทำให้ชื่อของท่านถูกจดจำผ่านกาลเวลา
หากแต่เป็นคุณธรรมความดีที่ท่านได้ทำและมอบไว้ให้กับสังคม
แต่ถึงจะมีตัวอย่างดี ๆ อย่างนี้ ก็ยังมีคนรวยในยุคสมัยของเราเลือกจะถูกจดจำในความไร้จริยธรรมแทน
ห้องถัดมา มีรูปใบโพธิ์ขนาดใหญ่อยู่บนเพดาน สื่อความหมายถึง
ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของชาวจีนที่ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของ
พระมหากษัตริย์ไทย
ห้องนี้ก็เลยจัดแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ชาวไทยเชื้อสายจีนในย่าน
เยาวราชเคยได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ที่ได้เสด็จฯ
มาเยี่ยมชุมชนในเยาวราช
โดยเฉพาะความเป็นย่านของอร่อยที่ถ้าใครอยากรู้ว่าร้านไหนอยู่ตรงไหนในเยาวราช ก็มาจิ้มเครื่องตรงนี้ก็จะมีแผนที่บอกทางกันไว้ให้
เป็นฝีมือการออกแบบอีกชิ้นของ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติและอดีตอธิบดีกรมศิลปากร หลายคนคงคุ้นหูกับชื่อท่านกันดี เพราะท่านเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระเมรุที่ใช้ถวายพระเพลิงพระ บรมศพสมเด็จย่า และพระศพของสมเด็จ กรมหลวงฯ มาแล้วด้วย
วัดไตรมิตรแต่เดิมมีชื่อว่าวัดสามจีน จากชื่อวัดก็เชื่อกันว่าเดิมมีคนจีน 3 คนที่เป็นเพื่อนกันได้ร่วมกันสร้างวัดไว้ พอมามีการบูรณะวัดขึ้นใหม่ตอนหลังก็เลยเปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดไตรมิตรในปี พ.ศ. 2482
จุดธูปเทียนบูชากันได้ที่ด้านนอก
แล้วค่อยเข้าไปกราบพระประธานกันด้านใน
พระประธานชื่อพระพุทธทศพลญาณ
ชั้น 4 ที่เป็นชั้นบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ หรือที่เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร
ส่วนที่ชั้น 3 จะเป็น ห้องจัดแสดงนิทรรศการหลวงพ่อทองคำ และชั้น 2 เป็นศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช
ถ้าขึ้นไปชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำอย่างเดียว 40 บาท แต่ถ้าชมห้องจัดแสดงที่ชั้น 2 และชั้น 3 ด้วยก็จ่ายเพิ่มอีก 100 บาทเป็น 140 บาท
มาซื้อบัตรได้ที่ศาลาหลังนี้
ศาลาอยู่ด้านข้างกับพระมหามณฑป
เขาเตรียมลิฟท์ไว้ให้แล้ว แต่ลิฟท์นี้สงวนให้ใช้เฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้พิการเท่านั้น
ทางเข้าไปที่ลิฟท์จะต้องเข้าประตูที่อยู่ตรงข้ามกับศาลาขายบัตรเข้าชมตรงนี้ล่ะ
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย
ถ้าขี้เกียจหิ้ววางทิ้งไว้ข้างนอก เจ้าหน้าที่เขาเตือนว่าหายกันไปหลายรายแล้ว
ใครมีกล้องมาด้วยก็เก็บภาพกันได้เต็มที่ เพียงแต่มีข้อห้ามไม่ให้ใช้แฟลชตอนถ่ายเท่านั้น
ตอนไปถึงอาจจะต้องนั่งรอรอบฉายสักนิดก่อนจะได้เข้าชม
แล้วมาดูขั้นตอนการหล่อพระพุทธรูปกันต่อ
จากนั้นก็ค่อย ๆ พอกดินทับลงไป เสร็จแล้วเท่ากับเราก็จะมีขี้ผึ้งที่มีลวดลายองค์พระอยู่ระหว่างกลางแบบพิมพ์ดิน
พอเผาให้ขี้ผึ้งละลายออกมาตามช่องที่เตรียมไว้แล้ว ก็หลอมทองเทลงไปในช่องว่างแทนที่ขี้ผึ้ง แกะแบบพิมพ์ออกแล้วตกแต่งรายละเอียดต่อไป
ที่จริงแต่ละขั้นจะมีรายละเอียดกว่านี้ ใครสนใจก็ค่อย ๆ ไปอ่านคำอธิบายกันได้
ก่อนมาเป็นพระพุทธรูปที่งดงาม
และหนังสือกินเนสบุ๊คออฟเรคคอร์ดที่รวบรวมสารพัดที่สุดของโลก
ก็ระบุว่าพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตรนี้ เป็นพระพุทธรูปทองคำที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ยิ่งพอได้มาเห็นช่างเขียนทำงาน ยิ่งรู้สึกเลยว่างานประณีตมาก ๆ
ปิดท้ายด้วยร้านขายของที่ระลึก
ข้างในมีเรื่องราวของการอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยของชาวจีน ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าแผ่นดินไทยจนสามารถสร้าง ฐานะความเป็นอยู่ที่มั่งคั่ง ไปจนถึงบรรยากาศของเยาวราชในอดีต
เพราะว่าห้องแรกจะฉายวิดีทัศน์สั้นให้ชมกันเป็นรอบ ๆ ก่อน
เรื่องราวบอกเล่าถึงความผูกพันของชาวจีนที่มีต่อพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่ รุ่นเหลากงจนมาถึงรุ่นหลาน และยังถ่ายทอดบอกเล่าถึงความยากลำบากของคนรุ่นที่เพิ่งอพยพย้ายถิ่นเข้ามา ในเมืองไทย ที่ต้องใช้ทั้งความอดทนและขยันหมั่นเพียรจนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา มีฐานะที่มั่งคง ให้ลูกหลานคนรุ่นหลังที่เกิดมาก็มีชีัวิตที่สุขสบาย ได้รับรู้ถึงความเป็นมาของบรรพชน
ฟังแล้วดูเหมือนอาป้าอาม้าจะอยากจับลูกหลานตัวดี มานั่งฟังอาเหลากงสอนหลานตรงนี้ไปด้วย
ดูจบแล้ว ถัดมาก็จะได้เจอเรื่องราวของชุมชนจีนในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น
เขาออกแบบให้เราต้องเงยหน้าขึ้นไปชมภาพบนจอ ที่ฉายพร้อมเสียงประกอบที่ให้บรรยากาศเหมือนกับเราได้ร่วมเรือสำเภาเข้ามา ขึ้นฝั่งที่สำเพ็งไปกับเขาด้วย
หุ่นจำลองวิถีชีวิตของชาวจีนที่อพยพมาใหม่ ที่ต้องเริ่มด้วยการทำงานใช้แรงงาน
บ้างก็เปิดร้านค้า หรือแม้แต่หาบจุ่ยก้วยออกเร่ขาย
ถ้าไปเดินดูเองก็ลองสังเกตด้วยว่า คนจีนเขามีท่านั่งกินที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างด้วย
ห้องถัดมามีเสียงหวูดของเรือกลไฟดังเป็นระยะ ห้องนี้บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ลงมาที่เริ่มมีเรือกลไฟใช้งานกัน
รวมถึงเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทั้งของไทยเราและในเมืองจีนที่เกิดขึ้นในแต่ละรัชกาล
ที่มีผลให้คลื่นผู้อพยพชาวจีนเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนั้น
ฉากในห้องจัดแสดงส่วนนี้ เขาทำเก๋ด้วยการเปลี่ยนฉากเป็นกลางวันกลางคืนสลับกัน
อย่างเช่นบรรยากาศในตลาด
ความที่ในห้องจะหมุนเวียนจากกลางวันเป็นกลางคืน ช่วงค่ำ ๆ โรงงิ้วที่เคยเงียบนิ่งก็จะมีงิ้วมาเล่นกันเสียงดังครึกครื้นเรียกคนมามุงดู กันได้เยอะเลย
วัดมังกรกมลาวาสที่ด้านหน้าเคยมีแม่ค้าแม่ขายเอาของมาวางขายเป็นตลาดย่อม ๆ กัน
ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นย่านไชน่าทาวน์หรือชุมชนคนจีน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีผู้คนหลายเชื้อชาติต่างศาสนาอยู่อาศัยร่วมกัน
แต่ถึงจะมีตัวอย่างดี ๆ อย่างนี้ ก็ยังมีคนรวยในยุคสมัยของเราเลือกจะถูกจดจำในความไร้จริยธรรมแทน
และในห้องสุดท้ายเป็นบรรยากาศสีสันของเยาวราชในยุคปัจจุบัน